คำพิพากษาฎีกาที่ 6100-6101/2556
นายประสิทธิ์ ที่ 1 กับพวกรวม 2 คน โจทก์
บริษัท พี.เอส.พี. จำเลย
เรื่อง 1. ขโมยน้ำมันรถบรรทุกน้ำมันมีวิธีป้องกันอย่างไร
2. ค่าเที่ยวเป็นค่าจ้างไหม
3. ค่ารักษารถเป็นค่าจ้างไหม
1. โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2540 และวันทื่ 2 กรกฎาคม 2544 จำเลยรับโจทก์ที่ 2 และโจทก์ที่ 1 ตามลำดับเข้าทำงานเป็นลูกจ้างตำแหน่งพนักงานขับรถ (1) ค่าจ้างอัตราสุดท้ายโจทก์ที่ 1 เดือนละ 5,980 บาท โจทก์ที่ 2 (2) เดือนละ 9,027 บาท(3) ค่าเที่ยวเฉลี่ยเดือนละ 8,000 บาทต่อคน (4) และค่ารักษารถเดือนละ 3,000 บาทต่อคน กำหนดการจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2549 และวันที่ 27 มิถุนายน 2549 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ 2 และโจทก์ที่ 1 ตามลำดับ โดยโจทก์ทั้งสองไม่ได้กระทำความผิด จำเลยต้อง (5) จ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 101,880 บาท โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 160,216 บาท (6) สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 33 วัน เป็นเงิน 18,678 บาท โจทก์ที่ 2 จำนวน 27 วัน เป็นเงิน 24,699 บาท (7) ค่าเสียหายจากการเลิกจ้าง ที่ไม่เป็นธรรมเท่ากับอายุงานปีละ 1 เดือน โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 84,900 บาท โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 180,243 บาท และจำเลยต้อง (8) คืนเงินประกันในการทำงาน 10,000 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 1
2. จำเลยให้การว่า ค่าจ้างอัตราสุดท้ายโจทก์ที่ 1 เดือนละ 5,959 บาท โจทก์ที่ 2 เดือนละ 8,768 บาท (9) เงินค่าเที่ยวคำนวณตามระยะทางเมือขับรถไปส่งสินค้าแต่ละครั้ง ตามประกาศอัตราค่าเที่ยว มิได้เป็นเงินที่จ่ายให้ประจำ เฉลี่ยเดือนละไม่เกิน 5,000 บาท (10) ส่วนค่ารักษารถเป็นเงินรางวัลจูงใจพนักงานขับรถปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย มิได้เป็นเงินที่จ่ายให้แน่นอน ขึ้นอยู่กับการประพฤติปฏิบัติตามคำสั่งระเบียบข้อบังคับของจำเลย วันที่ 26 เมษายน 2549 โจทก์ที่ 2 ถูกเจ้าพนักงานตำรวจปราบปรามการทุจริตน้ำมันทำการจับกุมบริเวณเพิงรับซื้อขายน้ำมันไม่มีเลขที่ ริมถนนบางปะหัน – บางปะอิน และเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2549 โจทก์ที่ 1 ร่วมกับนายจะเด็ด ทับทิมทอง พนักงานฝ่ายซ่อมบำรุง แผนกปฏิบัติการขนส่งของจำเลย (11) ปลอมแปลงเอกสารการเบิกจ่ายน้ำมัน ลงลายมือชื่อพนักงานคนอี่นและเอาน้ำมันโซลาของจำเลยไป การกระทำของโจทก์ทั้งสองเป็นการทุจริตต่อหน้าที่กระทำความผิดอาญาโดยเจตนาต่อจำเลยทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย เป็นความผิดร้ายแรงตามระเบียบข้อบังคับกับทำงาน ขอให้ยกฟ้อง
3. ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 8,370 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี แก่โจทก์ที่ 1 และยกฟ้องโจทก์ที่ 2
4. โจทก์ที่ 2 และจำเลยอุทธรณ์ศาลฎีกา
5. ศาลฎีกา ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ที่ 1 ได้ค่าจ้าง 5,959 บาท โจทก์ที่ 2 ได้รับค่าจ้าง 8,768 บาท (12) และโจทก์ทั้งสองยังได้เงินค่าเที่ยว คิดตามจำนวนเที่ยว ระยะทางและประเภทรถตามอัตราที่จำเลยกำหนด (13) ได้เงินรางวัลในการขับรถปลอดภัยและรอบคอบ มีความขยัน การดูแลรักษารถ ตามอัตราค่าเที่ยวและคู่มือพนักงานขับรถ (14) เงินค่าเที่ยวมีจุดมุ่งหมายจ่าย เพื่อเป็นค่าตอบแทนการทำงานจึงเป็นค่าจ้าง (15) ส่วนเงินรางวัลเป็นเงินที่จ่ายให้เป็นกำลังใจในการทำงานตอบแทนความดีความขยัน ไม่ใช่ตอบทานการทำงานโดยตรงจึงไม่ใช่ค่าจ้าง (16) จำเลยไม่มีประจักษ์พยาน หรือ พยานแวดล้อมรู้เห็นว่าโจทก์ที่ 1 ยักยอกน้ำมัน ไม่ปรากฎว่าโจทก์ที่ 1 มีส่วนรู้เห็นในการจัดทำและลงลายมือชื่อในเอกสารการเติมน้ำมัน จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์ที่ 1 ทำผิดอาญาโดยเจตนาต่อจำเลย จำเลยจึงต้อง (17) จ่ายค่าชดเชยและสินจ้าง แทนการบอกกล่าวล่วงหน้า (18) จำเลยมีพันตำรวจตรีปรีชา เบิกความเป็นพยานยืนยันว่าซุ่มดูเห็นโจทก์ที่ 2 เปิดฝาถังน้ำมันรถให้นายสมบัติ ใช้สายยางดูดน้ำมันใส่ถัง พยานเข้าจับกุม และยึดได้ของกลาง (19) จึงเลิกจ้างโจทก์ที่ 2 ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า
6. (20)เงินค่าเที่ยวเป็นค่าจ้างหรือไม่ เห็นว่า การจ่ายเงินค่าเที่ยวเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับที่จ่ายให้พนักงานขับรถ เมื่อขับรถไปส่งน้ำมันให้ลูกค้า โดยมีอัตราการจ่ายที่สถานที่ขับรถไป ย่อมเป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานโดยตรง จึงเป็นค่าจ้าง (21) ค่าเที่ยวเป็นค่าจ้างที่คิดคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำงาน ขับรถให้แก่นายจ้าง จึงมีจำนวนผันแปรไปตามปริมาณงานที่ทำได้ ไม่อาจกำหนดจำนวนที่แน่นอนได้เหมือนกับค่าจ้างรายเดือนแบบเหมาจ่ายซึ่งเป็นเรื่องปกติ การจ้างแรงงานรายเดียวกันอาจกำหนดวิธีคิดคำนวณค่าจ้างเป็นหลายแบบผสมผสานกันได้ มิใช่ว่าหากค่าตอบแทนมีจำนวนไม่แน่นอนเท่ากันทุกเดือนแล้วจะไม่ใช่ค่าจ้าง
7. พิพากษายืน
รวบรวมโดยนายไพบูลย์ ธรรมสถิตมั่น